อรหันต์องค์สุดท้ายผู้มีฤทธิ์มาก พระอุปคุต บูชาแล้วร่ำรวย โชคดี คุ้มครองภัย

ตำนานพระเถระผู้ให้โชคลาภอัศจรรย์ในวันพุธ พระอุปคุต บูชาแล้วไม่ยากจน

อรหันต์องค์สุดท้ายผู้มีฤทธิ์มาก พระอุปคุต บูชาแล้วร่ำรวย โชคดี คุ้มครองภัย

พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ไว้ว่า ร้อยปีหลังการปรินิพพานของพระองค์ จะถือกำเนิดพระอนุพุทธเจ้า ผู้ทำหน้าที่สืบทอดและพิทักษ์พระพุทธศาสนา ดุจดังพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง เขาผู้นั้นจะกำเนิดเป็นบุตรของพ่อค้าน้ำหอมในเมืองมธุรา เมื่อบวชจนบรรลุอรหันต์ จะเป็นผู้กระทำพุทธกิจแทนพระพุทธองค์ สามารถปราบพญามารที่พยายามทำลายงานพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา และทำให้พญามารคลายมิจฉาทิฐิ ละพยศ ยอมเข้ามาอยู่ในบวรพุทธศาสนาได้

สองร้อยกว่าปีหลังพุทธปรินิพพาน อนุพุทธเจ้าผู้นั้นได้ถือกำเนิดขึ้นจริงดังพุทธพยากรณ์ กลายเป็นพระอรหันต์หลังพุทธกาลเพียงหนึ่งเดียว มีนามว่า “พระอุปคุต” แปลว่า ผู้คุ้มครองมั่นคง


กำเนิด อุปคุต เด็กชายดังพุทธพยากรณ์

พระอุปคุต เป็นพระอรหันต์สาวกในพระพุทธศาสนาที่ไม่มีชื่อปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกบาลี และไม่ได้เป็นพระอสีติสาวก เนื่องจากท่านเกิดหลังจากพุทธปรินิพพานไปแล้วนานกว่า ๒๑๘ ปี

อุปคุต เติบโตมาอย่างดีในตระกูลค้าขายน้ำหอม เขามีรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณที่งามงดงาม กริยาสุภาพอ่อนน้อม พูดจาดี ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ คอยช่วยเหลือกิจการค้าขายน้ำหอมของครอบครัวอยู่เป็นประจำ ทำให้ฐานะการเงินของครอบครัวค่อยๆ ขยับดีขึ้น จนเข้าขั้นเป็นเศรษฐีของเมือง

พ่อของอุปคุตเคยให้คำสัญญากับพระศาณกสิณเอาไว้ว่า หากตนมีบุตรชายจะให้บวช แต่พ่อค้าน้ำหอมก็เพิกเฉยมาตลอด จนกระทั่งได้ให้กำเนิดบุตรชายคนที่สามมีชื่อว่า อุปคุต พระศาณกสิณทราบว่า อุปคุต คือ พระอนุพุทธเจ้าในภายภาคหน้า ตามที่พระองค์เคยพยากรณ์ไว้ จึงไปทวงสัญญากับพ่อค้าน้ำหอม ด้วยลักษณะนิสัยที่ดีงามของอุปคุต ช่วยทำงานอย่างขยันขันแข็ง และซื่อสัตย์ ทำให้พ่อค้าน้ำหอมยังไม่อยากให้บุตรชายบวช จึงออกอุบาย กำหนดเงื่อนไขเอาไว้ว่า หากอุปคุตขายน้ำหอมไม่ได้กำไรเลย และในขณะเดียวกันก็ไม่ขาดทุนด้วย จึงจะยอมให้เขาบวช

ในครั้งนั้น มีมารบันดาลให้เกิดกลิ่นเหม็นในเมืองมธุรา ทำให้อุปคุตขายน้ำหอมได้กำไรมาก พระศาณกสิณสอนให้อุปคุตฝึกจิต จนในที่สุดจิตของเขาเป็นกุศลทั้งหมด อุปคุตบรรลุอนาคามีจากข้อธรรมของตนเอง พระศาณกสิณบันดาลให้เขาค้าขายไม่ได้กำไร และไม่ขาดทุนตามเงื่อนไข พ่อค้าน้ำหอมจึงยอมให้อุปคุตบวชในที่สุด


พระอุปคุต อรหันต์สมัยหลังพุทธกาล

หลังจากพระอุปคุตได้บวช ก็ตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนา จนบรรลุอรหันต์ ท่านเป็นปฐมาจารย์แห่งนิกายสรวาสติวาท ที่มีลูกศิษย์มากถึง ๑๘,๐๐๐ คน อีกทั้งลูกศิษย์แต่ละคน สามารถสืบทอดและเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างมั่นคง พระอุปคุตจึงหมดกังวล ลงไปบำเพ็ญญาณสมาบัติเพียงลำพังอยู่ใต้สะดือมหาสมุทร

ในกาลนั้นแผ่นดินปกครองโดยพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า พระองค์ทรงสร้างสถูปเจดีย์มากถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ และตั้งใจจะจัดพิธีเฉลิมฉลองให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ ยาวนานต่อเนื่องถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ให้สมกับศรัทธาที่ตั้งมั่นของพระองค์

ฝ่ายพระสงฆ์ผู้มีญาณได้ทราบด้วยญาณทัสสนะว่า งานฉลองครั้งนี้จะมีพญาสวัตดีมารมาก่อกวน และขัดขวางไม่ให้พิธีกรรมสำเร็จ แม้ขณะนั้นจะมีพระสงฆ์ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ในสังฆมณฑลหลายองค์ แต่จะไม่มีใครสามารถต่อกรกับพญามารตนนี้ได้ จึงส่งภิกษุออกไปอาราธนาพระอุปคุตเถระที่อยู่ลึกใต้ท้องสมุทรให้ขึ้นมาช่วยดูแล คุ้มครองงานพิธีกรรมครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

ซึ่งก็เป็นไปดังพุทธพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า "สืบไปในภายภาคหน้า จะมีภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า อุปคุตเถระ จักปราบท้าวสวัตดีมารให้ละพยศอันชั่วร้าย แล้วจะให้ท้าวเธอกล่าวปฏิญญารารถพุทธภูมิ"


ตำนานพระอุปคุต ปราบพญามาร

พระอุปคุตนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร นานทีปีหนจึงจะออกมาสู่โลกภายนอก เพื่อบิณฑบาตประทังชีวิต พอให้กายหยาบพอดำรงอยู่ได้ ท่านจึงมีร่างกายที่ผ่ายผอม เมื่อพระเจ้าอโศกเห็นพระอุปคุต จึงเกิดความกังวลว่าพระอุปคุตจะสามารถปกป้องพิธีกรรมได้จริงหรือไม่

พระเจ้าอโศก ปล่อยช้างตกมันไปทดสอบอิทธิฤทธิ์ของพระอุปคุต ในระหว่างที่ท่านกำลังออกบิณฑบาต ช้างตกมันวิ่งเข้าหาพระอุปคุต และกลายเป็นหินแข็งทั้งตัวในทันที พระเจ้าอโศกที่ได้เห็นกับตาจึงคลายสิ้นความสงสัย เข้ากราบขอขมาพระอุปคุต พระอุปคุตเข้าใจ และอธิษฐานจิตให้ช้างที่แข็งเป็นหิน กลับมามีชีวิตดังเดิม

เมื่อถึงวันฉลองพระเจดีย์ พญาสวัตดีมารบันดาลให้เกิดพายุลูกใหญ่ หมายจะดับประทีปในพิธีกรรมที่กำลังจุดบูชา พระอุปคุตจึงอธิษฐานให้พายุหายไป และเมื่อพญามารบันดาลสิ่งใดให้เกิดขึ้น พระอุปคุตเถระก็จะใช้ฤทธิ์ทำลายล้างจนหมดสิ้น พญามารเนรมิตตนให้เป็นโคตัวใหญ่ หมายจะวิ่งไล่ชนประทีปในพิธีให้แตกเสียหาย พระอุปคุตจึงแปลงกายเป็นเสือพยัคฆ์ วิ่งไล่ตะปบโคถึก เมื่อโครู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ จึงแปลงกายเป็นนาคราช ๗ เศียร คาบลำตัวเสือพยัคฆ์เอาไว้ พระอุปคุตจึงเนรมิตกายเป็นมหาพญาครุฑ คาบหัวพญานาคลากไปมา แต่พญามารก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ แปลงกายเป็นยักษ์ ใช้กระบองลำใหญ่เท่าต้นตาลทุบพญาครุฑ พระอุปคุตจึงแปลงกายเป็นยักษ์ที่ใหญ่โตกว่า ๒ เท่า แล้วใช้กระบองทุบหัวพญามารจนคราวนี้สิ้นฤทธิ์ แล้วจึงขับไล่พญามารไม่ให้มารบกวนการทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์

ยักษ์ใหญ่ได้แปลงกายกลับมาเป็นพระอุปคุตเถระตามเดิม และได้เนรมิตซากหมาเน่าให้ลอยไปคล้องคอพญามารเอาไว้ โดยอธิษฐานจิตมั่นว่า “ไม่ว่าผู้ใด แม้จะเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ก็อย่าได้ปลดเปลื้องสุนัขเน่านี้ ออกจากคอของพญามารได้”
พญาสวัตดีมาร อวยทวยเทพทุกชั้นฟ้า ไปหาท้าวมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง ๔ หวังให้แก้บ่วงหมาเน่า แต่ก็ไม่มีใครสามารถแก้ได้ ทั้งเทพเทวดาต่างพูดว่า “พระเถระรูปนี้เป็นผู้ทรงอภิญญา มีอานุภาพมาก ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ได้ จงกลับไปหาพระเถระผู้นั้นเถิด”
พญามารกลับมาหาพระอุปคุต แต่พระเถระเห็นว่าพญามารอันธพาลตนนี้ ยังไม่สิ้นฤทธิ์ จึงบังคับให้พญามารไปที่ภูผาบรรพต แล้วใช้ประคดเอวของท่าน พันคอพญามารเกี่ยวเอาไว้กับภูเขาแน่น กักขังพญาสวัตดีมารให้อยู่เพียงลำพังนานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน หรือจนกว่าพิธีกรรมฉลองพระสถูปเจดีย์จะเสร็จสิ้น

เมื่อพญามารสวัตดีได้อยู่กับตัวเองลำพังเป็นเวลานาน จึงมีเวลาคิดทบทวนหลายประการ เริ่มคลายความพยศโหดร้าย ในยามที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส เกิดระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า วิงวอนขอพระองค์ทรงเป็นที่พึ่งให้กับตนด้วย แม้พญามารสวัตดีจะเคยคิดทำร้ายพระพุทธเจ้ามาก่อนในอดีต แต่พระองค์ก็ไม่เคยคิดทำร้าย หรือโต้ตอบพญามารเลยแม้แต่น้อยนิด แต่บัดนี้ สาวกของพระพุทธองค์กลับปราบตน จนไม่เห็นความเมตตากรุณาเลย พญามารโน้มใจเข้าหาพระพุทธศาสนา พร้อมอธิษฐานจิตว่า "หากข้าพเจ้ามีกุศลที่ได้สั่งสมไว้ในอนาคตกาล ขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้มีเมตตาต่อสัตว์อันไม่มีประมาณด้วยเถิด"
พระอุปคุตเมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงปรากฏตัวที่เขาบรรพตแล้วกล่าวว่า ที่ทำไปก็เพื่อประโยชน์ต่อทุกส่วน เป็นหนทางเดียวที่พญามารจะได้ระลึกถึงการปรารถนาพุทธภูมิ ตั้งแต่บัดนี้ จงอบรมบารมีให้แก่รอบ เพื่อโพธิญาณเถิด จากนั้นจึงปล่อยพญาสวัตดีมารให้เป็นอิสระ พญามารพบหนทางสว่าง เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มีชื่อว่า ‘พระพุทธธรรมสามี’
หลังจากทำภารกิจสำเร็จ พระอุปคุตเถระก็กลับลงไปบำเพ็ญญาณสมาบัติใต้ท้องมหาสมุทรดังเดิม มาจนถึงกาลปัจจุบัน ก็ยังคงมีความเชื่อว่าพระอุปคุตยังมีชีวิตอยู่ และยังคงจำพรรษาอยู่ที่ใต้ท้องสะดือมหาสมุทร

 

พระอุปคุต บันดาลโชคลาภอย่างน่าอัศจรรย์ ถึงผู้ศรัทธาในกาลปัจจุบัน

ตำนานเล่าว่า มีสองสามีภรรยาฐานะยากจนคู่หนึ่ง บ้านอยู่ชานเมืองของจังหวัดเชียงใหม่ มีอาชีพทำนา และเก็บผลไม้ในป่าไปขาย วันหนึ่งในฤดูหนาว พวกเขาตื่นแต่เช้าเช่นทุกวัน ตระเตรียมผลไม้ที่เก็บไว้จะนำไปขาย ระหว่างการเดินทางเข้าเมือง เห็นสามเณรน้อยยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จึงคัดสรรผลไม้ลูกที่ดีที่สุดในหาบไปใส่บาตรพระ สามเณรให้พร และก็เดินจากไป
หลังใส่บาตรสองสามีภรรยาเกิดความปลื้มปีติ อิ่มอกอิ่มใจในบุญ ได้เดินทางนำผลไม้ที่เหลือไปขายต่อในเมือง ปรากฏว่าผลไม้ขายหมดอย่างรวดเร็ว และขายดีมากขึ้นทุกๆ วัน ทำแบบนี้อยู่เป็นประจำ จนฐานะของพวกเขาดีขึ้น ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรมาขาย ก็เป็นเงินเป็นทองไปซะหมด เข้าขั้นเป็นเศรษฐีเมืองเชียงใหม่

สองสามีภรรยาไม่เคยลืมสามเณรรูปนั้นเลย ยังคงหมั่นเดินทางไปในที่ๆ เคยใส่บาตร หวังจะได้พบกับสามเณรอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยเจอท่านอีกเลย เมื่อได้ทำบุญจึงสอบถามพระผู้ใหญ่ ท่านบอกว่า ฐานะของทั้งสองคนร่ำรวยขึ้นมา เกิดจากอานิสงส์ของการทำทานกับพระอุปคุต พระเถระผู้เข้าฌาณอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร จำแลงกายมาในร่างสามเณรน้อย เพื่อออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ บุคคลใดได้ตักบาตรกับพระอุปคุตเถระจะโชคดี และมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต

สองสามีภรรยาเกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก ทำบุญใหญ่ สร้างวัดในชุมชน และหาช่างฝีมือสร้างพระ หล่อองค์พระอุปคุต พร้อมกับตั้งชื่อวัดว่า 'วัดอุปคุต' ปัจจุบันชาวเหนือยังคงมีความเชื่อว่า พระอุปคุตจะขึ้นมาบิณฑบาตในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำที่ตรงกับวันพุธเท่านั้น กลายเป็นประเพณีเก่าแก่ทางศาสนาในภาคเหนือของไทยที่เรียกว่า 'วันเพ็งพุธ' หรือ เป็งปุ๊ด ในภาษาท้องถิ่น ให้พุทธศาสนิกชนได้ตักบาตรแด่พระภิกษุสงฆ์และสามเณร สืบสานยาวนานมากว่า ๒๕๐ ปีแล้ว

พระอุปคุต บันดาลโชคลาภให้แก่ผู้ศรัทธาอย่างอัศจรรย์ใจ ผู้ใดได้ตักบาตรกับพระอุปคุต จะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เกิดสติปัญญา มีโชคลาภ ร่ำรวยเงินทอง ภัยอันตรายที่กำลังกล้ำกราย จะมลายหายไปสิ้น สามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงในชีวิตได้ เหมือนพระอุปคุตที่สามารถเอาชนะพญามารได้

บูชาพระอุปคุต ไม่มีวันยากจน ประสบการณ์จริงของผู้บูชาพระอุปคุต ตั้งจิตบูชาท่านในฐานะพระสังฆคุณอย่างแท้จริง นิสัยเปลี่ยนไปภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน เกิดสำนึกบุญคุณในผู้ให้กำเนิด เลิกอิดออดในการดูแลพ่อแม่ การปฏิบัติต่างๆ ทั้งสมถะ และวิปัสสา ก้าวหน้าขึ้นอย่างอัศจรรย์ จากที่เคยได้ยินเสียงแปลกๆ ในตอนกลางคืน เสียงดังก่อกวนก็หายไป น้อมใจเข้าสู่พระพุทธศาสนาได้มากขึ้น และเจริญวิปัสสนาอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากบูชาพระอุปคุต


มาถึงตรงนี้ ผู้มีจิตศรัทธาที่อยากบูชาพระอุปคุตในที่พักอาศัย หรือปรารถนาสร้างพระอุปคุตถวายวัด ให้เป็นที่พึ่งพาทางใจของผู้คนอีกมากมาย ร่วมสร้างบุญครั้งยิ่งใหญ่กับโรงหล่อพระ รุ่งเรืองพานิช โรงหล่อพระเก่าแก่ย่านเสาชิงช้า สะพานบุญหนุนนำพระพุทธศาสนาในย่านพระนครมาอย่างยาวนานกว่า ๗๐ ปี ให้คุณได้บูชาพระอุปคุต ราคาย่อมเยาที่สุด ทำบุญอย่างสบายใจที่สุดกับโรงหล่อพระ รุ่งเรืองพานิช

สัมผัสความศักดิ์สิทธิ์ งานพุทธศิลป์พระอุปคุตองค์จริงได้ ที่หน้าร้านรุ่งเรืองพานิช ถนนบำรุงเมือง เสาชิงช้า รับสร้างพระอุปคุต ทุกขนาด มีวัสดุหลากหลายแบบให้เลือก ตามกำลังศรัทธา พระอุปคุต ปางจกบาตร อิริยาบถแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า หยุดดวงตะวันชั่วคราว เพื่อฉันภัตตาหารให้ทันก่อนเวลาเพล แสดงออกถึงฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระอุปคุตในการสร้างความอุดมสมบูรณ์ด้วยตัวเอง ให้มีกินมีใช้ไม่ขาดมือตลอดชีวิต

บูชาพระอุปคุต ราคาย่อมเยา กับ โรงหล่อพระรุ่งเรืองพานิช พุทธศิลป์งดงามวิจิตรบรรจง เสริมพลังแห่งศรัทธา บริการด้วยใจที่น้อมใจเข้าหาธรรม “คุณนุช” และ “คุณแนน” ยังคงสืบสานเจตนารมณ์ของครอบครัวในการผลิตพระพุทธรูปด้วยความประณีต และศรัทธาอย่างแรงกล้า ทั้งสองให้ความสำคัญกับการสร้างพระตามหลักพุทธศิลป์ และดูแลลูกค้าด้วยหัวใจของผู้ศรัทธา ไม่ใช่แค่ผู้ขาย จึงทำให้โรงหล่อพระรุ่งเรืองพานิชเป็นมากกว่าร้านค้า แต่เป็น “สะพานบุญ” ที่อบอวลด้วยแรงศรัทธาจากรุ่นสู่รุ่น 

 

ร้านพระ เสาชิงช้า คลังพระพุทธรูป และเครื่องสังฆภัณฑ์แห่งแรกในเสาชิงช้าโดย รุ่งเรืองพานิช

โทรศัพท์ : 089-245-9949 , 083-550-5936 , 091-445-9495
LINE : https://line.me/ti/p/@rungruangpanich1
Facebook : https://www.facebook.com/rungruangsaochingcha
E-Mail : peerayatam@yahoo.com